ความแตกต่างระหว่างการวิจัยทางการกับการวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยทางการ (Formal Research: FR) หมายถึง กระบวนการหาความรู้ความจริงใหม่ ที่มีระบบแบบแผนตามหลักวิชา อาศัยหลักเหตุผล ที่รอบคอบ รัดกุม ละเอียดและเชื่อถือได้ และความรู้ความจริงนั้นจะนำไปเป็นหลักการ ทฤษฎี หรือ ข้อปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์ได้รับรู้และนำไปใช้เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตด้วยความสงบสุขหรือป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่าง ๆ ได้
การวิจัยในชั้นเรียน(Classroom Action Research: CAR) หมายถึง การวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพของผู้เรียน และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน
ดังนั้น การวิจัยทางการหรือตามรูปแบบ (Formal Research) จึงมีรายละเอียดและรูปแบบที่จะต้องยึดถืออยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดข้อยุงยากและข้อจำกัดในการทำวิจัยเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีพื้นฐาน หรือความรู้ทางด้านระเบียบวิธีวิจัยที่ดีพอ วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อยุ่งยากที่เกิดจากการวิจัยตามรูปแบบและมีความเหมาะสมสำหรับครูในการนำมาใช้ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน มีการลดขั้นตอน และข้อจำกัดที่เป็นของการวิจัยตามรูปแบบลงไป ทำให้ง่ายที่จะทำความเข้าใจ และนำไปใช้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวิจัยทางการหรือตามรูปแบบกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จึงขอสรุปได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ความแตกต่างระหว่างการวิจัยทางการกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ประเด็น |
FR (Formal Research) |
CAR (Classroom Action Research) |
1. เป้าหมายของการวิจัย |
ได้องค์ความรู้ที่สามารถสรุปอ้างอิงไปสู่กลุ่มประชากรได้ |
ได้องค์ความรู้ที่จะนำมาปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนางานที่กำลังปฏิบัติอยู่ |
2. วิธีการกำหนดประเด็นปัญหาหรือคำถามวิจัย |
ตรวจเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง |
ประเด็นปัญหาที่พบในปัจจุบัน |
3. วิธีการตรวจเอกสาร |
|
การตรวจเอกสารไม่เข้มข้นมากนัก อนุโลมให้ใช้ข้อมูลจากแหล่งทุติยภูมิ (ข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอ) |
4. แผนแบบการวิจัย |
มีการควบคุมตัวแปรอย่างเข้มงวดและใช้ระยะเวลายาวนาน |
ตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นบางอย่างออกไป ใช้ระยะเวลาสั้น ไม่เข้มงวดในการควบคุมตัวแปร |
5. การสุ่มตัวอย่าง |
เน้นการสุ่มชนิดที่คำนึงถึงความน่าจะเป็น เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากร |
ไม่เน้นการสุ่มตัวอย่าง กลุ่มที่ศึกษาคือนักเรียนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานด้วย |
6. กระบวนการวัดผล |
ประเมินผล และมีการวัดก่อนการทดลอง ระหว่างการทดลอง และหลังการทดลอง |
วัดตามแบบปกติหรือใช้แบบทดสอบมาตรฐาน |
7. การวิเคราะห์ข้อมูล |
มีการใช้อนุมานสถิติ เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยมีการทดสอบความมีนัยสำคัญ เช่น มีการใช้ t-test, F-test เป็นต้น |
เนื่องจากกลุ่มที่ศึกษาคือประชากรเป้าหมาย ไม่มีการสุ่มตัวอย่าง จึงใช้สถิติเชิงบรรยาย เช่น การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้น |
8. ผลการวิจัย |
มีความกว้างขวาง และครอบคลุม อ้างอิงไปใช้กับกลุ่มอื่นได้ |
เฉพาะที่ เฉพาะเรื่อง ไม่สามารถอ้างอิงไปใช้กับกลุ่มอื่นได้ |
9. การนำผลไปใช้ |
เน้นความสำคัญในเชิงทฤษฎี |
เน้นความสำคัญที่เป็นผลมาจากการปฏิบัติ |
10. ระยะเวลาในการศึกษา |
ใช้ระยะเวลานานเป็นภาคเรียนหรือปีการศึกษา หรือมากกว่านั้น |
ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ตามหัวข้อหรือประเด็นที่ศึกษา |